อันดับ ยาง Michelin รุ่นไหนดี ปี 2567 ขั้นตอนการเช็คสภาพยางเบื้องต้น ก่อนนำรถไปเปลี่ยนยางใหม่

อันดับ ยาง Michelin รุ่นไหนดี ปี 2567 ขั้นตอนการเช็คสภาพยางเบื้องต้น ก่อนนำรถไปเปลี่ยนยางใหม่

การเลือกยางรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะยางมีหน้าที่ในการยึดเกาะถนน ช่วยให้รถยนต์เคลื่อนที่ได้ และยังส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่อีกด้วย โดยในปี 2567 นี้ยาง Michelin ยังคงเป็นแบรนด์ยางรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะมีคุณภาพดี มีความทนทาน และมีให้เลือกหลายรุ่นหลายขนาด เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของรถยนต์แต่ละประเภท

1. ยาง Michelin Primacy 4

ยาง Michelin Primacy 4 เป็นยางประเภทสมรรถนะสูงที่เหมาะสำหรับรถยนต์นั่งขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ โดยมีจุดเด่นในเรื่องของการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม ทั้งบนถนนเปียกและถนนแห้ง ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานอีกด้วย

  • เทคโนโลยี EverGrip: ช่วยให้ยางมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนได้ดีเยี่ยมบนถนนเปียก
  • เทคโนโลยี Silent Tread Design: ช่วยลดเสียงรบกวนจากการขับขี่
  • เทคโนโลยี MaxTouch Construction: ช่วยกระจายแรงกดบนหน้ายางได้อย่างสม่ำเสมอ
  • แก้มยางเสริมความแข็งแรง: ช่วยเพิ่มความทนทานและความปลอดภัยในการขับขี่
  • รับประกันการใช้งาน 50,000 กิโลเมตร: มั่นใจได้ในคุณภาพและความทนทานของยาง

2. ยาง Michelin Pilot Sport 4

ยาง Michelin Pilot Sport 4 เป็นยางประเภทสมรรถนะสูงที่เหมาะสำหรับรถยนต์สปอร์ตและรถยนต์สมรรถนะสูง โดยมีจุดเด่นในเรื่องของการยึดเกาะถนนที่เยี่ยมยอดทั้งบนถนนแห้งและถนนเปียก ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจและควบคุมรถได้อย่างแม่นยำ

  • เทคโนโลยี Dynamic Response: ช่วยให้ยางตอบสนองต่อการบังคับเลี้ยวได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  • เทคโนโลยี Tri-Compound Tread: ช่วยให้ยางมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนได้ดีเยี่ยมบนทุกสภาพถนน
  • เทคโนโลยี Variable Contact Patch 2.0: ช่วยเพิ่มพื้นที่หน้าสัมผัสระหว่างยางกับถนน
  • แก้มยางเสริมความแข็งแรง: ช่วยเพิ่มความเสถียรในการเข้าโค้ง
  • รับประกันการใช้งาน 30,000 กิโลเมตร: มั่นใจได้ในประสิทธิภาพและความทนทานของยาง

3. ยาง Michelin Energy XM2+

ยาง Michelin Energy XM2+ เป็นยางประเภทประหยัดน้ำมันที่เหมาะสำหรับรถยนต์นั่งขนาดเล็กถึงขนาดกลาง โดยมีจุดเด่นในเรื่องของการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและการยึดเกาะถนนที่ดีบนทุกสภาพถนน

  • เทคโนโลยี Green X: ช่วยลดแรงต้านทานการหมุนของยางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เทคโนโลยี Silent Tread Design: ช่วยลดเสียงรบกวนจากการขับขี่
  • เทคโนโลยี MaxTouch Construction: ช่วยกระจายแรงกดบนหน้ายางได้อย่างสม่ำเสมอ
  • แก้มยางเสริมความแข็งแรง: ช่วยเพิ่มความทนทานและความปลอดภัยในการขับขี่
  • รับประกันการใช้งาน 40,000 กิโลเมตร: มั่นใจได้ในคุณภาพและความคุ้มค่าของยาง

4. ยาง Michelin CrossClimate 2

ยาง Michelin CrossClimate 2 เป็นยางประเภท All-Season ที่เหมาะสำหรับรถยนต์นั่งขนาดเล็กถึงขนาดกลาง โดยมีจุดเด่นในเรื่องของการใช้งานได้บนทุกสภาพถนน ทั้งถนนเปียก ถนนแห้ง ถนนหิมะ และถนนน้ำแข็ง

  • เทคโนโลยี Variable Contact Patch 2.0: ช่วยให้ยางมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนได้ดีบนทุกสภาพถนน
  • เทคโนโลยี Winter Grip Compound: ช่วยให้ยางมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนบนถนนหิมะและถนนน้ำแข็ง
  • เทคโนโลยี MaxTouch Construction: ช่วยกระจายแรงกดบนหน้ายางได้อย่างสม่ำเสมอ
  • แก้มยางเสริมความแข็งแรง: ช่วยเพิ่มความทนทานและความปลอดภัยในการขับขี่
  • รับประกันการใช้งาน 40,000 กิโลเมตร: มั่นใจได้ในประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของยาง

5. ยาง Michelin LTX Trail

ยาง Michelin LTX Trail เป็นยางประเภท All-Terrain ที่เหมาะสำหรับรถยนต์ SUV และรถกระบะ โดยมีจุดเด่นในเรื่องของความทนทานและการยึดเกาะถนนที่ดีบนทุกสภาพถนน ทั้งถนนปกติ ถนนลูกรัง และถนนออฟโรด

  • เทคโนโลยี Durable Contact Patch: ช่วยเพิ่มความทนทานของยางและลดการสึกหรอของหน้ายาง
  • เทคโนโลยี IronFlex: ช่วยให้ยางมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนบนถนนลูกรังและถนนออฟโรด
  • เทคโนโลยี MaxTouch Construction: ช่วยกระจายแรงกดบนหน้ายางได้อย่างสม่ำเสมอ
  • แก้มยางเสริมความแข็งแรง: ช่วยเพิ่มความทนทานและความปลอดภัยในการขับขี่
  • รับประกันการใช้งาน 50,000 กิโลเมตร: มั่นใจได้ในประสิทธิภาพและความทนทานของยาง

ตารางเปรียบเทียบราคายาง Michelin

รุ่นยางขนาดยางราคา (บาท)
Michelin Primacy 4205/55 R164,500
Michelin Pilot Sport 4225/45 R176,000
Michelin Energy XM2+185/65 R153,000
Michelin CrossClimate 2195/65 R154,000
Michelin LTX Trail265/65 R175,500

ขั้นตอนการเช็คสภาพยางเบื้องต้นก่อนนำรถไปเปลี่ยนยางใหม่

ก่อนที่จะนำรถไปเปลี่ยนยางใหม่ ควรทำการเช็คสภาพยางเบื้องต้นด้วยตนเอง เพื่อดูว่ายางมีสภาพที่ปลอดภัยต่อการใช้งานหรือไม่ ซึ่งมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

  1. สังเกตลักษณะหน้ายาง: ให้สังเกตดูว่าหน้ายางมีร่องดอกยางที่ลึกเพียงพอหรือไม่ หากร่องดอกยางตื้นเกินไปจะทำให้ยางยึดเกาะถนนได้ไม่ดี โดยความลึกของร่องดอกยางที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 3-4 มิลลิเมตร โดยสามารถใช้เหรียญ 5 บาทมาทดสอบได้ หากสอดเหรียญ 5 บาทลงไปแล้วปลายเหรียญยังไม่ถึงก้นร่องดอกยาง แสดงว่ายางยังมีสภาพที่ปลอดภัย
  2. สังเกตแก้มยาง: ให้สังเกตดูว่ามีรอยปริ รอยฉีกขาด หรือรอยบวมที่แก้มยางหรือไม่ หากพบรอยดังกล่าว แสดงว่าแก้มยางได้รับความเสียหายและอาจทำให้ยางระเบิดได้ จึงควรเปลี่ยนยางใหม่ทันที
  3. เช็คลมยาง: ให้เช็คลมยางทั้ง 4 ล้อว่ามีลมยางที่เหมาะสมหรือไม่ โดยสามารถดูค่าลมยางที่เหมาะสมได้จากคู่มือรถยนต์หรือจากสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ที่เสาประตูรถ หากลมยางอ่อนหรือแข็งเกินไปจะทำให้ยางสึกหรอเร็วและทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น
  4. สังเกตความสั่นสะเทือน: ให้สังเกตขณะขับรถว่ามีอาการสั่นสะเทือนหรือไม่ หากมีอาการสั่น